“19 ที่เที่ยวยโสธร ออนซอนเมืองอีสาน”
“19 ที่เที่ยวยโสธร ออนซอนเมืองอีสาน”
ทีม Journeyaholic
เตรียมสะบัดชุดผ้าไทยยัดใส่กระเป๋า
ทริปนี้เราจะพาไปตะลุยยโสธร ออนซอนเมืองพญาคันคาก
ให้รู้ว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่แลนด์มาร์คสวยๆ
แต่ยังมีธรรมชาติ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมต่างๆที่ยังคงซ่อนอยู่อีกมากมาย
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเล้ยยยย
Day 1
เราเริ่มต้นการเดินทางกันที่สนามบินดอนเมืองกับสายการบินนกแอร์ ไปลงที่จังหวัดอุบลราชธานี

ใครที่กำลังกังวลว่าอยู่บนเครื่องจะปลอดภัยรึปล่าวไม่ต้องกลัวเลยนะ
ทางสายการบินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องมีการป้องกันและดูแลอย่างดี
มีการพ่นน้ำยาทำความสะอาดใหม่ทุกเที่ยวบิน
ปลอดภัยหายห่วง แต่ก็ต้องดูแลตัวเองโดยการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องนะคะ

และตลอดทริปนี้เราลือกใช้บริการรถเช่ากับ Avis Thailand เจ้าเก่าเจ้าประจำของเรา
สามารถจองผ่าน AvisThailand.com ได้เลย
มาถึงก็แค่เซ็นเอกสารรับรถ แล้วออกเดินทางได้เล้ยยย

จุดหมายแรกที่ราจะแวะกันก็คือ “วัดหอก่อง”
ชมพิพิธภัณฑ์มาลัยข้าวตอก ทุกๆปีจะมีประเพณีแห่มาลัยข้าวตอกของชาวลุ่มน้ำชี และจะจัดขึ้นในช่วงวันมาฆบูชา โดยจะมีการทำมาลัยประกวดแข่งกันของแต่ละหมู่บ้านด้วย
ที่เห็นมาลัยใหญ่ๆนั้นทำมาจากข้าวตอกทั้งหมดเลยนะ ถือเป็นอีกจุดนึงที่ห้ามพลาดเลย

ออกจากวัดหอก่องเราก็แวะกันที่ “วัดพระพุทธบาท ยโสธร”
ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำชี ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทซึ่งนับเป็ฯโบราณสถานอันล้ำค่าของจังหวัด อีกทั้งภายในพระอุโบสถยังประดิษฐานพระพุทธรูปหยกขาวที่ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอีกด้วย

“ธาตุก่องข้าวน้อย”
โดยที่นี่มีประวัติความเป็นมาเหมือนอย่างนิทานสมัยเด็กที่เราเคยได้ฟัง
โดยเป็นนิทานพื้นบ้านเล่าว่า มีชายหนุ่มชาวนา (บ้างว่าชื่อ ทอง) ที่ได้ทำนาทั้งชีวิต วันหนึ่งเขาออกไปไถนา ในเวลาเที่ยงเขาเหนื่อยล้า รู้สึกเกิดอาการร้อนรนและหิวโซ มารดาของหนุ่มชาวนามาส่งข้าว แต่มาช้ากว่าเวลาปกติ ชายหนุ่มเห็นว่าก่องข้าวที่มารดาถือมาให้นั้นก่องเล็กมาก เขาโกรธมารดามาก จึงทำร้ายมารดาด้วยความโมโหหิว เอาคันไถนาฟาดไปที่มารดา จนมารดาล้มและเสียชีวิต หลังจากนั้นเขากินข้าวที่มารดานำมาให้ แต่ก็กินเท่าไรข้าวก่องน้อยนั้นก็ไม่หมดก่อง ลูกชายเริ่มได้สติ หันมาเห็นมารดานอนเสียชีวิตบนพื้น จึงรู้สึกเสียใจมากที่ได้ทำผิดไป จึงได้สร้างธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้นมาด้วยมือเพื่อชดใช้บาปกรรม

จุดสุดท้ายของวันนี้ “แกรนด์แคนยอนยโสธร” เราตั้งใจมาถ่ายแสงเย็นกัน
ที่นี่เป็นภูเขาสลับกับบ่อดินลูกรัง มุมถ่ายรูปเยอะมากๆ ใครชอบถ่ายพรอตเทรตมาที่นี่ได้รูปกลับไปเพียบแน่นอน
Day 2

“วัดลาดเก่า หรือ วัดล้านขวด”
เป็นวัดที่ประยุคดัดแปลงใช้ขวดเครื่องดื่มแบบต่างๆมาตกแต่งอาคารจนมีความสวยงามแปลกตาเลยทีเดียว โดยอาคารเกือบทั้งหมดภายในวัดไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง หรือแม้กระทั่งเมรุก็ใช้ขวดแก้วมาประดับตกแต่งทั้งหมด

“วัดภูถ้ำพระ”
เป็นวัดป่าประดิษฐานพระพุทธรุปหลายสิบองค์อยู่บนเนินโขดหิน
ค่อนข้างจะสวยงามแปลกตาเลยทีเดียว


“ภูหินปูน”
ตั้งอยู่บนภูสูงมีกลุ่มหินทรายรูปร่างประหลาดจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่บริเวณลานหิน
และยังเป็นจุดชมวิวเมืองกุดชุมได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย

“อ่างเก็บน้ำหลุบหนองนอ”
เรามาเจอที่นี่โดยบังเอิญระหว่างกำลังค้นหาน้ำตกนางนอน
แต่ชาวบ้านบอกว่าช่วงนี้ไม่มีน้ำ แล้วยังต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 2-3 กิโลเมตร
เราเลยตัดสินใจแวะถ่ายรุปที่นี่แทน

“อ่างเก็บน้ำห้วยลิงโจน”
เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่มีแพร้านอาหารตั้งอยู่กระจายตามรอบๆตลิ่ง
ชาวบ้านนิยมมานั่งเล่นทานอาหารและเล่นน้ำกัน
บรรยากาศชิลสุดๆเหมาะกับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
อาหารก็สามารถโทรสั่งได้ที่แพเลย มีบริการเสริฟถึงที่เลยนะ

“วัดพรหมวิหาร”
แค่เราขับรถผ่านถนนอำเภอเลิงนกทา ก็จะได้พบกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่สวยงาม
เห็นเด่นชัดประดิษฐานอยู่กลางเมือง ก็เลยจอดแวะเข้าไปนมัสการสมเด็จพระใหญ่เพื่อเป็นสิริมงคล ถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่วิจิตรงดงามและใหญ่ที่สุดในอำเภอเลิงนกทาเลยทีเดียว

“โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้” เป็นโบสถ์ไม้ ของคริสต์ศาสนาที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและมีอายุถึง 100 ปี โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ มีชื่อเต็มๆ ว่า “วัดอัครเทวดามีคาแอล” ที่มีโบสถ์ไม้หลัง ใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า ซึ่งทั้งหมดทำมาจากไม้เนื้อแข็ง ซึ่งชาวบ้านพากันรวบรวมไม้และลงมือก่อสร้างด้วยกัน โดยลงมือ สร้างปี ค.ศ. 1947 ตัวโบสถ์รูปทรงที่สร้างขึ้นมีลักษณะแบบศิลปะไทย กว้าง 16 เมตร ยาว 57 เมตร จัดเป็นโบสถ์ ไม้ที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย


“สวนสาธารณะพญาแถน และพญาคันคาก”
ภายในตัวพญาคันคากเป็นพิพิธภัณฑ์คางคกสูงจำนวน 5 ชั้น
โดยที่ชั้นบนสุดตรงกับบริเวณปากของพญาคันคากจะเป็นจุดชมวิวแม่น้ำชี
และช่วงเย็นที่บริเวณสวนสาธารณะพญาแถนจะมีชาวบ้านมาพักผ่อนหย่อนใจ ปั่นจักรยาน หรือวิ่งออกกำลังกายกันเต็มไปหมด ได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านที่ค่อนข้างน่ารักและเป็นกันเองมากๆ

ถึงจะไปคนเดียวก็ไม่เหงานะ เพราะได้เดอะแก๊งค์แถวนั้นมาเป็นเพื่อนใหม่เพียบเลย นี่แหละเสน่ห์ของการเที่ยวคนเดียว
ปิดท้ายวันด้วยการนั่งชิลๆกับเด็กๆซะจนมืดค่ำกันเลย
Day 3

เริ่มต้นวันสุดท้ายของทริปด้วยการออกไปใส่บาตรกับคุณยายแถวๆเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า


“บ้านสิงห์ท่า”
เป็นย่านเมืองเก่าที่ชาวบ้านอาศัยอยู่กันแบบเรียบง่าย
และยังคงอนุรักษ์ตึกรามบ้านช่องแบบสมัยเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี
ด้วยกลิ่นอายความเป็นชิโนโปรตุกีสผสมกับศิลปะแบบตะวันตกของจีน
จึงทำให้ศาลหลักเมืองของที่นี่ก็ถูกออกแบบให้มีลักษณะและการตกแต่คล้ายกับศาลเจ้าอีกด้วย

“ศาลหลักเมืองยโสธร”

โดยศาลหลักเมืองแห่งนี้เป็นที่เลื่อมใสและเคารพนับถือของคนในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก
มีความโดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรม โดยผสมผสานศิลปะของ 3 วัฒนธรรม ทั้งจากไทย จีน และลาว นอกจากความพิเศษทางสถาปัตยกรรมแล้ว ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองยโสธร ยังมีเสาหลักเมืองถึง 3 เสา ที่เดียวในประเทศไทยอีกด้วย

และอีกจุดสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “วัดมหาธาตุ” วัดคู่บ้านคู่เมืองยโสธรมาตั้งแต่แรกสร้างเมือง มีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญในวัดหลายสิ่งคือ พระพุทธบุษยรัตน์ พระธาตุอานนท์และหอไตรโบราณกลางน้ำ ซึ่งพระธาตุพระอานนท์เป็นพระธาตุเก่าแก่ที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ส่วนยอดจะคล้ายกับพระธาตุพนม ภายในบรรจุอัฐิของพระอานนท์ ซึ่งมีที่เดียวในประเทศไทย และสองที่ในโลกคือไทยและอินเดีย

หอไตรโบราณกลางน้ำ สร้างขึ้นโดยพระครูหลักคำเจ้าอาวาส ตัวอาคารทั้งหลังสร้างด้วยไม้ ตั้งอยู่กลางสระน้ำสีเขียวมรกตและวิธีขัดไม้แบบดั้งเดิมในการก่อสร้าง มีการตกแต่งซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักด้วยการลงรักปิดทอง ปัจจุบันเป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลานและพระไตรปิฏก

พระพุทธบุษยรัตน์ หรือที่เรียกว่าพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นอีกหนึ่งอันซีนของยโสธรเพราะว่าเป็นพระประจำเมืององค์ที่เล็กที่สุดในไทย มีขนาดหน้าตักกว้าง เพียงแค่ 1.9 นิ้ว เท่านั้นเอง เป็นพระพุทธเนื้อแก้วใสรูปปางสมาธิที่ได้รับศิลปะการสร้างมาจากเชียงแสน

“บัวนาคาเฟ่ สาขา2”
คาเฟ่เล็กๆกลางสระบัวมีชิงช้าให้นั่งถ่ายรุปเก๋ๆด้วย
แต่ตอนเราไม่ค่อนข้างร้อนไปหน่อย ใครมาช่วงเย็นๆคงชิลน่าดู

”อุโมงค์ต้นไม้บ้านศรีฐาน”
เราเจอที่นี่โดยบังเอิญเพราะเป็ฯทางผ่านระหว่างไปหมู่บ้านศรีฐาน
จุดหมายต่อไปที่เราจะไปกัน

“หมู่บ้านทำหมอนขิด บ้านศรีฐาน”
ที่นี่หลังฤดูทำนา ชาวบ้านทุกครัวเรือนจะทอผ้าและทำหมอนขิต ซึ่งหมอนขิตที่นี่ถือเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ใครอยากจะมาเห็นวิธีการทำและอยากจะมาซื้อถึงแหล่งจึงต้องแวะมาที่นี่เลย

ปิดท้ายทริปนี้กันด้วยคาเฟ่น่ารักๆและเครื่องดื่มเย็นๆกันที่ “วาชิ โอลด์ทาวน์ คาเฟ่”
คาเฟ่น่ารักสไตล์ย้อนยุคที่ตกแต่งให้เข้ากับชุมชนบ้านสิงห์ท่า
มาช่วงเย็นๆมุมถ่ายรูปเยอะเลย

สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกว่าถึงยโสธรจะไม่ใช่จังหวัดแรกๆที่หลายๆคนจะนึกขึ้นได้เวลาอยากมาเที่ยว
แต่ที่นี่ก็ยังมีมุมดีๆน่ารักๆซ่อนอยู่อีกมาก และสิ่งที่เราประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเที่ยวอีสานก็คือความเป็นกันเองของชาวบ้านไม่ว่าจะบ้านไหนอำเภอไหน ทุกคนน่ารักและพร้อมจะดูแลช่วยเหลือทุกอย่าง
“ยินดีที่ได้พบนะยโสธร”